วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กิจกรรมที่10

1. กรณีเขาพระวิหาร
 ปัญหาแรกเริ่มก็คือการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกอย่างเช่นฝรั่งเศสที่ยึดกัมพูชาไปจากไทยเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่  2  จบลง  ฝรั่งเศสหมดอำนาจลง   กัมพูชาเป็นอิสระปกครองตนเองอย่างสมบูณ์
             อย่าง ไรก็ตามปัญหาที่ตามมาสำหรับประเทศไทยและกัมพูชาที่ยืดเยื้อมายาวนานคือสิทธิ ในดินระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยังพิพากษ์กันอย่างต่อเนื่องนับวันยิ่งทวีความ รุนแรงมากขึ้น
โดยประเทศไทยต้องเสียเขาพระวิหารและดินแดนบริเวณที่ตั้งของเขาพระวิหารใน ช่วงที่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ได้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา และมีปัญความขัดแย้งมาโดยตลอดในเรื่องของพื้นที่ทับซ้อนที่ยังหาข้อยุติไม่ ได้ จนกระทั่ง 2-3ปีที่ผ่านมาความขัดแย้งเริ่มทวี ความรุนแรง ขึ้นเมื่อกัมพูชาพยายามผลักดันเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งรวมถึงพื้นที่บริเวณข้างๆเขาพระวิหารที่ด้วยมีปัญหาคือพื้นที่นี้เป็น พื้นที่ พิพาทกันอยู่ ต่อมาในช่วงที่ผ่านมาเกิดการปะทะกันทหารไทยบาดเจ็บ 1นายจากการปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาอย่างไรก็ตามไทยยังใช้วิธีการประณีประนอมเจรจาเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลุกลาม   
   2.กรณีพื้นที่ชายแดน จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์  จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดสระแก้ว ตราด เกาะกรูด ทะเลในอ่าวไทย      
กล่าวคือ กัมพูชาเริ่มเปิดเกมรุกด้านดินแดนกับพื้นที่ 4.6 ตาราง กิโลเมตร ที่กัมพูชาต้องการครอบครองด้วยการนำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก จากนั้นเมื่อขึ้นมรดกโลกสำเร็จเส้นเขตแดนก็จะเปลี่ยนแปลงไป เพราะส่งผลทำให้ไทยต้องสูญเสียพื้นที่ 1.5 ล้านไร่ โดยกินพื้นที่ตั้งแต่อุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ ตามขอบชายแดนตลอดไป จนถึงจันทบุรีและตราด
      
       ที่สำคัญคือ ประเทศไทยและกัมพูชายังมีการประกาศอ้างสิทธิเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย ซึ่งมีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนกัน คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 34,000 ตารางกิโลเมตร โดยฝ่ายกัมพูชาประกาศเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2515 ซึ่งวัดจากเส้นเขตแดนทางบกที่มาจรดริมทะเลตามที่ปรากฏในแผนที่ฝรั่งเศส โดยลากเส้นไหล่ทวีปพาดผ่านยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดของไทย
      
       ขณะที่ฝ่ายไทยประกาศเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2516 โดยวัดจากเส้นเขตแดนทางบกที่จรดริมทะเลตามที่ปรากฏในแผนที่เดินเรืออังกฤษ หมายเลข 2414 โดย เส้นในช่วงแรกใช้แนวแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดของไทยกับเกาะกงของ กัมพูชา ส่วนเส้นช่วงที่เหลือเป็นเส้นแบ่งครึ่งทะเลระหว่างแนวเกาะของไทยกับกัมพูชา ซึ่งพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลดังกล่าวนั้นทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถ ตกลงกันได้
      
       และด้วยเหตุดังกล่าวทำให้พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน ทางทะเลกลายเป็น ปัญหาที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเนื่องจากฝ่ายกัมพูชาต้องการครอบครอง และถูกนำไปเชื่อมโยงกับการนำ ปราสาทพระวิหารไป ขึ้นทะเบียนมรดกโลก เพราะในการเป็นมรดกโลกนั้นจะต้องมีเขตพื้นที่กันชน ซึ่งเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า จะเข้ามาล่วงล้ำอธิปไตยของไทย

   3.กรณี MOU43 ของรัฐบาลนายชวนหลีกภัยมีผลต่อการจัดการพื้นที่ชายแดนอย่างไร หากมีการนำมาใช้จะก่อให้เกิดปัญหากับพี่น้องประชาชนในจังหวัดที่มีพื้นที่ ติดกับชายแดนไทยกับกัมพูชาอย่างไร
นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีในยุคที่มีการเซ็น MOU ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่เป็นคนเซ็นลงนามในหนังสือดังกล่าวร่วมกับ นายวาร์ คิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลที่รับผิดชอบกิจการชายแดนของกัมพูชา นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ เลขาฯ นายกษิต ฯลฯ
ทั้งๆ ที่ความจริงก็คือ MOU ฉบับดังกล่าวเป็น MOU ซึ่งทำให้ไทยต้องสูญเสียอธิปไตยในผืนแผ่นดินของตัวเองด้วยการยอมรับแผนที่ มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า ระวางดงรักหรือ ANNEX1 ซึ่ง จะทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนเป็นจำนวนมากโดยกินพื้นที่ตั้งแต่ อุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ ตามขอบชายแดนตลอดไป จนถึงจันทบุรีและตราด
      
       ทั้งนี้ MOU 43 คือการร่วม กันดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทย กับราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้ ข้อ ก. อนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส แก้ไขเพิ่มเติมข้อบทแห่งสนธิสัญญาฉบับ ลงวันที่ 3 ตุลาคม รัตนโกสินทร์ศก 112 หรือปี ค.ศ.1893 ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่นๆ ฉบับลงนาม ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์ศกปี 122 ปี ค.ศ. 1904  ข้อ ข. สนธิสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ ฝรั่งเศส ฉบับลงนาม ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทร์ศก 125 ปี ค.ศ. 1907 หรือว่า 2450 กับพิธีศาลว่าด้วยการปักปันเขตแดน แนบท้ายสนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทร์ศก 125 หรือ ปี ค.ศ. 1907
      
       และข้อ ค. ซึ่งเป็นข้อที่สำคัญมากคือแผนที่ที่จัดทำตามผลงานของการปักปันเขตแดนของคณะ กรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี 1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับ 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส
       สรุปสาระสำคัญของข้อ ค. คือให้ใช้แผนที่ของฝรั่งเศส
ก่อให้เกิดปัญหากับพี่น้องประชาชนในจังหวัดที่มีพื้นที่ติดกับชายแดนไทยกับกัมพูชาอย่างไร
       สำหรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจาก MOU 43 นั้น ต้องบอกว่าเหลือคณานับ เช่น  ประชาชน ชาวไทยที่ลงทุนปลูกยางพาราและคนไทยที่ทำกินอยู่ในระแวกนั้นต้องศูนย์เสียที่ อยู่ที่ทำกินอย่างถาวรเกิดเป็นปัญหาการจัดสรรที่อยู่ใหม่ปัญหาสังคมตามมา  แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องอธิปไตยเหนือดินแดนไทยที่จะต้อง เปลี่ยนไปถึงขั้นต้องตีพิมพ์แผนที่ประเทศไทยใหม่กันทีเดียว
              4. กรณี คนไทย 7 คน ประกอบด้วย สส.พรรคประชาธิปัตย์  (นายพนิต)  ประชาชนหัวใจรักชาติ (นายวีระ สมความคิด นายแซมดิน  นายตายแน่  มุ่งมาจนและผู้ติดตามผู้หญิงอีก 2 ท่าน) ร่วมกับสส.ไปตรวจพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ในการแบ่งเขตพื้นที่ชายแดน และถูกทหารกับพูชากับจับหรือลักพาตัวไปขึ้นศาลประเทศกัมพูชาในฐานะที่นัก ศึกษาเรียนวิชาสังคม จะนำความรู้มาอธิบายให้นักเรียนของท่านได้รับรู้ข้อมูลอย่างไร  โปรดสรุปและแสดงความคิดเห็น
เขมรกล่าวหาว่าคนไทยล้ำแดนเขมรแต่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยก็รีบรับมุกเลย ว่าเราล้ำแดนจริง วันแรกบอกว่าล้ำแดนไป 1.2 กม. วันที่ 2 แก้ข่าวใหม่ เป็น 55 เมตร  เป็น 8 เมตรทำไมไม่ศึกษาให้ดีก่อนให้ข่าวกันอย่างไร แค่ล้ำแดนหรือไม่ล้ำแดน มันเรื่องธรรมดาทำไม ต้องขึ้นศาลเขมรด้วย  มันไม่จำเป็นเลย  เศร้าจริง ๆ ที่เจ้าหน้าที่รัฐก็ได้แต่ย้ำว่า ไทยเราผิดเอง เท่านั้น  การให้การแบบนี้  มันช่วยคนไทย 7 คน หรือทำให้ติดคุกกันแน่ ทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้วกระมัง
            ใน ความคิดของผมคิดว่าทำไมต้องยอมรับด้วยในเมื่อที่ตรงนั้นอยู่ในระหว่างข้อ พิพากษ์รัฐบาลมีนัยยะอะไรแฝงอยู่หรือเปล่าเรื่องนี้มันชักยังไงอยู่หรือเป็น กลอุบายในการต่อสู้เรียกดินแดนมาเป็นของไทย หรือว่ารัฐบาลชุดนี้ความสามารถไม่ถึงกันแน่
อ้างอิง
http://www.navy22.com/smf/index.php?topic=1


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น